10/16/2014

แก้ตามช่าง..(ไม่ใช่ตามช่างมาแก้)

งานนี้เหนื่อยใจ จากที่จ้างช่างมาเดินระบบไฟฟ้าภายในบ้านและเป็นความสะเพร่าของตัวเราเองที่ไม่ตรวจงานให้ละเอียดเสียก่อน ด้วยความที่เป็นคนคุ้นเคยกันดีเลยไม่ดูอะไรมากเพียงเห็นว่าเสร็จเรียบร้อยก็จ่ายตังค์เป็นอันจบ ในที่สุดก็เริ่มมองเห็นจุดบกพร่องเช่น หลอดไฟอยู่ด้านหนึ่ง สวิทช์อยู่ด้านหนึ่งบ้าง สวิทช์เดียวต่อรวมหลอดบ้าง ช่างรู้ดีก่อนเจ้าของบ้านซะอีกไม่ถามเราเลย
แต่ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพที่สายดิน(สีเขียว หมายเลข๑) มีกระแสไฟฟ้าตลอดเวลาแม้กระทั่งปิดเบรกเกอร์ลงหมดก็ตาม
ส่วนวงแดงหมายเลข ๒ เป็นฝีมือช่างแอร์ของ Home Pro มาติด ดูตามภาพจะเห็นสีของสายไฟใส่ลงไปโดยไม่ได้ดูชาวบ้านเลยว่าสีอะไรเค้าใส่อย่างไร จะว่าเป็นช่างโบราณดีมั้ย และที่สำคัญสร้างปัญหาให้กับระบบไฟฟ้าในบ้านทั้งหมดด้วย นั่นคือไฟรั่วไปลงที่กราวด์ ทำให้มิเตอร์หมุนทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง มารู้อีกทีอีตอนมาติดตั้งเครื่่องทำน้ำอุ่นด้วยตัวเองและถูกไฟเกือบดูดนั่นแหละ..

ตู้โหลดเซ็นเตอร์เมนเบรกเกอร์
เมื่อเดินสายไฟภายในบ้านเสร็จใหม่ๆ ได้ซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นมาติดตั้งครั้งแรกเปิดทดสอบใช้งานได้ตามปกติ แต่ไม่ค่อยได้ใช้เลยถอดไปใช้กับบ้านอีกหลังหนึ่ง จากนั้นสั่งแอร์มาติดตั้ง ๒ ตัว แล้วก็ทิ้งบ้านไว้ไม่ได้เปิดใช้อยู่หลายเดือน มาวันนี้ซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นมาใหม่เพื่อติดตั้งแทนเครื่องเก่าที่ถอดออกไป ระหว่างทำการติดตั้งเมื่อต่อสายไฟครบทั้ง ๓ เส้นแล้วมือไปถูกสายดินปรากฎว่าถูกไฟดูด จึงได้เอาไขควงเทสไฟดูมีไฟแน่นอน ตอนนั้นยังคิดว่าในเมื่อยังไม่ได้ต่อสายไฟเข้าเบรกเกอร์เลยและปิดไฟไว้หมดทำไมมันจึงมีไฟดูดเราได้ เดินออกไปดูมิเตอร์หน้าบ้านเห็นมิเตอร์หมุนอยู่อีก คราวนี้ชัดเลยว่าไฟรั่วแน่ๆเลย จึงจัดการเปิดตู้โหลดหาสาเหตุทันที

สาเหตุ เจอแล้วไง
ความมักง่ายของช่างแอร์ เมื่อเปิดตู้โหลดแล้วเวลาปิดใช้สกรูที่เป็นเกลี่ยวยาวเกินขนาดขันเพื่อปิดฝาตู้โหลด เลยทะลุทิ่มแทงสายเมนไฟที่มาจากมิเตอร์ ทำให้กระแสไฟวิ่งไปทั่วกล่องของตู้โหลดและวิ่งไปที่สายดินได้ มิน่าเล่ามันจึงมีไฟมาดูดเราขณะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น นอกจากนี้เรายังต้องมาตามเก็บงานอีกหลายอย่างจากช่างมักง่ายที่มักง่าย

ดูช่างมักง่าย
ผลงานช่างแอร์ติดเบรกเกอร์ใช้วิธีมักง่าย คือใช้หัวแร้งไฟฟ้าเจาะแผ่นยึดแทนใช้สว่านเจาะ ผลคือไม่เรียบร้อยแผ่นมีตะเข็บแหลมคมและไม่เรียบ นอกจากนี้ยังสว่านเจาะรูเพื่อใช้ใส่ตะปูเกลียว แต่เมื่อใส่ตะปูเกลี่ยวแล้วปรากฎว่าหลวมขันไม่ได้หรือขันไม่แน่น

เมื่อมักง่ายยังงี้ แล้วช่างมันทำยังไงต่อ นี่เลย
หาอุปกรณ์ที่มีอยู่ในกล่องเครื่องมือมันนั่นแหล่ะมาทำเป็นน๊อตตัวเมียเสียเลย ช่างมันเก่งมั้ยล่ะ มักง่ายดีแทีเชียว

ในที่สุดเราก็จัดการแก้ไขเรียบร้อยสำเร็จด้วยดี กินเวลาไปครึ่งวันจากจ้างช่างมาทำแต่เราต้องมาแก้ไขตามช่างมัน คิดแล้วก็ช่างหัวมันเถอะกูก็ทำได้โว้ย..

10/09/2014

วันที่ ๓ ของการเดินทาง

วันนี้เป็นวันที่ ๓ แล้วที่พักอยู่ที่นี่ ตื่นขึ้นมาตอนเช้า มองออกไปข้างนอกที่พักต้นไม้สีเขียวขจีแซมใบสีเขียวอ่อนๆ พื้นยังมีรอยเค้าฝนเมื่อคืน แต่วันนี้ไม่มีฝนแล้วรอเพียงแสงแดดยามสายเข้ามา
อากาศวันนี้แจ่มใสดี อุณหภูมิน่าจะอยู่ประมาณ ๒๑ - ๒๒ องศา กำลังสบายเลย หลังเสร็จภาระกิจแล้วก็ออกจากที่พัก อันดับแรกเลยคือตุนเสบียงอาหารไว้ก่อน โดยแวะซื้อที่ร้านขายในเส้นทางเดินไปสถานีรถไฟนั่นเอง
เที่ยวแบบเราก็งี้แหละ..กินง่ายๆ ซื้ออาหารแบบสำเร็จรูปเหมือนร้านเซเว่นบ้านเรา ส่วนเวลากินก็ไปหาข้างหน้าเอา ร้านที่เราซื้อคือร้าน Family Mark มีให้เลือกเยอะเลย
ก่อนออกจากที่พักเราก็เตรียมหาข้อมูลจาก Internet ไว้แล้ว แต่พอมาถึงสถานที่จริงเพื่อจะซื้อตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดินเริ่มสับสนและงงไปหมด แต่ไม่เป็นไรต้องใช้ความสามารถหน่อยก็แล้วกัน เมื่อมองดูแล้วทำไมมันมีที่จำหน่ายตั๋วมากมาย จะไปซื้อที่ไหนล่ะ คนก็เยอะลายตาไปหมด
ทุกอย่างมันใช้วิธีหยอดๆ กดๆ เท่านั้น หลังจากที่งงอยู่พักหนึ่งในที่สุดก็ได้ตั๋วมาแล้ว..เย้.. จากนั้นต้องรีบเดินและเดินให้เร็วไปตามลูกศรบอกทางเพื่อยังจุดหมายคือไปตรงที่ขึ้นรถไฟให้ทันเวลา
คนญี่ปุ่นนี้ยอมรับเลยว่าเดินเร็วมากเลย หลังจากเดินถึงบันไดเลื่อนทุกคนจะยืนชิดซ้ายกันหมดเลย เข้าแถวต่อคิวตรงเป๊ะ เวลาเดินสวนกับเด็กๆญี่ปุ่นพวกเค้าจะโค้งและพูดว่าสวัสดีครับโดยไม่สนใจว่าจะมีใครตอบกลับหรือไม่
เห็นป้ายแล้วจ้า พร้อมลูกศรบอกทิศทางไปขึ้น Shinkansen ซ่ะ ๆ

10/07/2014

10 สิ่งต้องตระหนักเมื่อผจญภาวะท้องผูก

10 สิ่งต้องตระหนักเมื่อผจญภาวะท้องผูก
โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช 

ของกินจะอร่อยนัวแค่ไหนแต่ถ้าลำไส้ไม่ดีก็หมดกัน เรื่องท้องไส้ เป็นเรื่องสำคัญมากครับ สมัยยังเด็กนึกอยากกินอะไรตามใจสักเพียงใดก็ไม่กังวลนักด้วยไม่มีปัญหา “เบื้องล่าง” แต่เมื่อมีอายุเข้าหรือได้ประสบปัญหาทางเดินอาหารแบบไม่คาดคิดจึงทำให้ของอร่อยพาลหมดอร่อยไป
      
       ไม่อยากกินเมื่อนึกถึงปัญหาที่จะตามมา
      
       ไม่ว่าริดซี่(ริดสีดวงทวาร),โรคกระเพาะ, กรดไหลย้อนหรือเรื่องง่ายๆ อย่าง “ท้องผูก” นี่ละครับ สำหรับเรื่องนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนที่เป็นอย่างน่าเห็นใจ
      
       เพราะกินเข้าไปแล้วแสนอึดอัด
      
       การที่มันไม่ออกมาหรือว่ากว่าจะออกนั้นแสนลำบากเจ็บปวดทำให้หลายท่านเข็ดขยาด ทำให้ชีวิตหมดสีสันไป ของที่เคยอร่อยก็หมดอร่อย
      
       กร่อยเพราะท้องผูก
      
       ซึ่งที่จริงแล้วการแก้ปัญหาท้องผูกจะไม่ยากหากรู้ “ต้นตอ” ของมันว่าอะไรที่ทำให้ “ถ่ายไม่ปกติ” แต่อย่างแรกต้องทราบก่อนว่าสรีระวิทยาแห่งการขับถ่ายของเสียนั้นมีอะไรประกอบอยู่บ้าง
      
       3 กลไกช่วยให้ถ่ายดี
      
       - เส้นทางดี นั่นคือ ลำไส้ที่เป็นช่องอุโมงค์โล่งดีไม่มีอะไรมากั้นขวางหรือเบียดตัน
      
       - วัตถุดิบดี คือ มีเส้นใยในกากอาหารและกากนั้นไม่แข็งหรือเหนียวมากจนเกินไป
      
       - พลังขับเคลื่อนดี มีแรงส่งจากลำไส้และแรงเบ่งกำลังดีที่เหมาะสม
      
       ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นระบบขับถ่ายที่มีประสิทธิภาพ แต่เมื่ออายุมากขึ้นท่านจะสังเกตว่ามันอาจมีปัญหาได้ เพราะกล้ามเนื้อที่ออกแรงลดลง, ลำไส้บีบตัวไม่ดีและอาหารที่รับประทานได้น้อย
      
       นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่ต้องนึกถึงเมื่อท้องผูกอีกเป็นขบวนต่อไปนี้ครับ
      
       10 เรื่องที่เกี่ยวกับท้องผูก
   
10 สิ่งต้องตระหนักเมื่อผจญภาวะท้องผูก/นพ.กฤษดา ศิรามพุช
        1) ถ่ายไม่เป็นเวลา ท่านที่ไม่ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาเดียวกันนั้นอาจนำไปสู่โรคท้องผูกในที่สุด เพราะลำไส้ก็เหมือนกับอวัยวะอื่นที่ต้องมี “นาทีทอง” ของการทำงานเช่นเดียวกัน
      
       โดยลำไส้ใหญ่จะบีบตัวเป็นลูกคลื่นโตๆ แค่ 1-3 ครั้งต่อวัน แต่มันช่วยขับกากอาหารทั้งขบวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยถ้าท่านฝึกปลุกลำไส้ให้ตรงเวลามันก็จะทำงานให้ท่านได้อย่างน่าประทับใจยิ่งครับ
      
       2) ชอบอั้นถ่าย ชีวิตคนยุคใหม่ทำให้การ “กลั้นถ่าย” เป็นเรื่องที่เกิดอยู่เสมอๆ
      
       การอั้นถ่ายหนักบ่อยๆก็เหมือนกับการ “ฝืนธรรมชาติ” ครับ เพราะโดยสรีระแล้วของเสียที่มีปริมาณมากพอจะกระตุ้นลำไส้ให้รู้สึก “ปวดอัตโนมัติ” ดังนั้นถ้าท่านที่รักทำตามกระแสได้จะดีครับ
      
       3) แคลเซียมมากไป การได้รับแคลเซียมมากไป (Hypercalcemia) จากอาหารประจำวันหรือผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมมีส่วนทำให้เกิด “ท้องผูก” ได้ง่ายๆ
      
       จากที่ได้คุยกับคนไข้หลายท่านบอกว่าไม่คิดว่า “แคลเซียมธรรมดา” ที่กินอยู่ทุกมื้อจะทำให้เกิดได้ เลยอยากฝากไว้เผื่อท่านที่ท้องผูกไม่หายลองพักแคลเซียมไว้ แล้วสังเกตอาการดูร่วมกับดื่มน้ำให้เยอะครับ
      
       4) มะเร็งลำไส้ใหญ่ ในท่านที่มีท้องผูกบ่อยๆ หากร่วมกับสัญญาณอื่นอย่างเบื่ออาหาร, ผอมลง,ถ่ายผูกสลับเหลวและบางรายมีเลือดปนด้วยก็ต้องระวัง “โรคที่คุณก็รู้ว่าอะไร” ไว้ด้วยนะครับ
      
       โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colorectal cancer) ที่ทำให้มีอาการท้องผูกเรื้อรังร่วมด้วยได้
      
       5) นึกถึงลำไส้แปรปรวน อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) จะทำให้ท้องอืด, ผูกหรือในบางท่านสลับท้องเสียได้ มักพบในท่านที่เหนื่อย เพลีย อ่อนล้า ทำงานหนักหรือหนักอกหนักใจเรื่องใดๆในชีวิตจะทำพิษกับลำไส้ให้ป่วนจนท้องผูกได้
      
       6) ไทรอยด์ต่ำทำให้ท้องผูกได้ เป็นอีกโรคหนึ่งที่ทำให้มีอาการทางลำไส้ได้เช่นท้องผูก,ท้องอืดแน่น มีอาการคล้ายโรคกระเพาะแต่เป็นเรื้อรังไม่หายสักที มักร่วมกับมีอวบขึ้นบวมขึ้นทั้งที่กินก็ไม่มาก
      
       หากมีอาการเช่นว่าก็อย่าเพิ่งตกใจไป ขอให้ลองเจาะเลือดตรวจไทรอยด์ดูก่อนแล้วแก้ได้ครับ
      
       7) ทำให้เกิดแผลปากทวาร ในเด็กเล็กที่ท้องผูกบ่อย ปล่อยเข้าห้องน้ำเองร้องจ๊ากทุกทีมีอาการหวาดผวานั่งกระโถน
       ขอให้นึกถึงโรคแผลปริที่ปากก้น (Anal Fissure) นี้ไว้ เพราะมันมาจากท้องผูกแล้วเบียดบาดก้นอ่อนจนเป็นแผล ค่อยแก้เรื่องท้องผูกฝึกการเข้าห้องน้ำแล้วจะตัดวงจรแผลนี้ได้ขาดครับ
      
       8) ริดสีดวงตามมา เมื่อท้องผูกบ่อย ประกอบกับปัจจัยอีก 2-3 อย่างอาจสร้างให้เกิดตุ่มพองของเส้นเลือดขอดที่ทวารหนักได้ ทำให้เกิดเลือดออกหรืออาการเจ็บปวดตามมาพร้อมกับคลำได้ติ่งที่เหมือนนินจาโผล่บ้างผลุบบ้างตามระยะของมัน
       ถ้าเป็นเช่นนี้ขอให้แก้เรื่องท้องผูกก่อนจะช่วยได้มากครับ
      
       9) ผูกได้ในคนท้อง ในสาวๆ ที่มีน้องในท้องขอให้ระวังท้องผูกตามธรรมชาติที่อาจเกิดได้เมื่อเริ่ม “ท้องแก่” และเกิดไปเรื่อยจนกว่าจะคลอด เพราะท้องที่ป่องขึ้นทุกวันคืนจะเพิ่มแรงดันให้ขยุ้มเส้นเลือดเบ่งบานขยายออกเป็นริดสีดวงที่ทวารหนักได้
      
       ในคนท้องจึงต้องดูแลเรื่องอาหารดีๆ ด้วยจะได้ช่วยการขับถ่ายครับ
      
       10) เบาหวานทำท้องผูกได้ เรื่องหวานๆ อย่างน้ำตาลสูงในเลือดถ้านานถึงระดับหนึ่งจะเริ่มไปเยี่ยมเยียนตามที่ต่างๆ อย่างจอตา, ลงไตหรือที่ “ลำไส้” ก็ไปได้ เพราะความหวานไปทำให้ “หลอดเลือด” และ “เส้นประสาทเสื่อม” ทั่วราชอาณาจักร
      
       โดยหลักๆ แล้วตามปลายอวัยวะต่างๆ อย่างลำไส้ก็ทำให้เส้นประสาทที่คุมเสียไปทำให้ขี้เกียจทำงานเกิดอาการท้องอืด, กรดไหลย้อน, ท้องเสีย หรือท้องผูกเรื้อรังได้
      
       อาการท้องผูกที่ว่าไปนี้หลายท่านหนักที่อาการถ่ายยากและหลายวันกว่าจะถ่าย เพื่อให้เกิดความประทับใจมากขึ้นบางท่านจึงเลือกใช้ “ทางลัด” อย่างยาถ่ายหรือการดีท็อกซ์ลำไส้เพื่อให้ “ระบาย” ออกมาจะได้สบายตัว อีกทั้งเกรงว่าท้องผูกนานจะเก็บสารพิษไว้บานตะไท
      
       ซึ่งในกรณีหลังนี้ขอให้ลองรับประทาน “อาหารดีท็อกซ์” แบบธรรมชาติดูด้วยนะครับ อย่างแกงส้มรสจี๊ด(มีมะขามเปียก),  ผักชะอมชุบไข่ทอด(ชะอมมีใยอาหารมาก), ใบขี้เหล็ก(ช่วยระบายได้), กระเจี๊ยบอ่อน(ฝักเรียวเขียวมีเมือกใสช่วยถนอมลำไส้)
      
       นอกจากนั้นผลไม้แบบไทยๆที่ช่วยได้ก็มีกล้วยน้ำว้า, มะละกอ, สับปะรด, ส้มโอ, ลิ้นจี่ ที่ช่วยให้การเข้าห้องน้ำเป็นเรื่องน่าประทับใจขึ้น
      
       แถมอย่าลืม “ออกกำลังกาย” ช่วยด้วยอีกแรงนะครับ
(โดย..นพ.กฤษดา ศิรามพุช)

10/05/2014

ผักแต้ว

ต้นแต้วบ้านต้องตา
ชื่อ"ผักแต้ว/ผักติ้ว

ชื่อพื้นเมือง "แต้ว(ไทย) ติ้วขน(กลางและนครราชสีมา)
ติ้วแดงติ้วยางติ้วเลือด(เหนือ) แต้วหิน(ลำปาง)
กุยฉ่องเซ้า(กระเหรี่ยง ลำปาง) กวยโซง(กระเหรี่ยง
กาญจนบุรี)ตาว(สตูล)มู โต๊ะ(มาเลเซีย-นราธิวาส)
เน็คเคร่แย(ละว้า-เชียงใหม่)รา เง้ง(เขมร-สุรินทร์)ติ้วขาว
(กรุงเทพฯ)ติ้วส้ม(นครราชสีมา )เตา(เลย)ขี้ติ้ว ติ้วเหลือง
(ไทย) ผักติ้ว(อุบลราชธานี มหาสารคาม-อีสาน)

ประโยชน์ทางอาหาร

ส่วนที่เป็นผัก/ฤดูกาล ยอด อ่อนใบอ่อนและช่อดอกอ่อนรับประทานเป็นผักได ยอดอ่อนและใบอ่อนผลิใน
หน้าฝนและหน้าหนาว ส่วยดอกออกสะพรั่งในช่วงปลายฤดูหนาว ฤดูร้อน ถึงต้นฤดูฝน
การปรุงอาหาร ชาวไทยภาคกลางและชาวอีสานรับประทานผักแต้วเป็นผักโดยที่ชาวไทยภาคกลาง
รับประทานยอดแต้วอ่อน เป็นผักสดแกล้มกับน้ำพริกปลาร้า ดอกแต้วมีรสเปรี้ยวนิดๆจิ้มกับน้ำพริก
ปลาร้ามีรสอร่อยมาก ส่วนชาวอีสานรับประทานยอดอ่อน ใบอ่อนและช่อดอกเป็นผักสดแกล้มลาบ ก้อย น้ำพริก ซุป หมี่กะทิ หรือนำไปแกง เพื่อให้อาหารออกรสเปรี้ยว(เป็นเครื่องปรุงรส) ส่วนดอกนำไปต้ม
แกง บางครั้งแกงรวมกันทั้งยอดอ่อนและดอกอ่อนเป็นผักที่ชาวอีสานนิยมรับประทานมาก ชนิดหนึ่ง
และมีจำหน่ายในท้องตลาดของท้อง ถิ่นอีสาน

รสและประโยชน์ต่อ สุขภาพ

ยอดอ่อนและดอกอ่อนของผักติ้วมี รสเปรี้ยว ผักติ้ว 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 58 กิโลแคลอรี่
ประกอบด้วยเส้นใย 1.5 กรัม แคลเซี่ยม 67 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 19 มิลลิกรัม เหล็ก 2.5 มิลลิกรัม
เบต้า-แคโรทีน 4500 ไมโครกรัม วิตามินเอ 750 ไมโครกรัมของเรตินอล วิตามินบีหนึ่ง 0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบีสอง 0.67 มิลลิกรัม ไนอาซิน 3.1 มิลลิกรัม วิตามินซี 58 มิลลิกรัม

ข้อมูลพิเศษ เกี่ยวกับคุณค่าทางเภสัชของผักติ้วในแวดวงวิทยาการ

นัก วิจัย ม.ขอนแก่น นำพืชสมุนไพร 14 ชนิดจากโคกภูตากา อุทยานแห่งชาติภูเวียงศึกษาศักยภาพเบื้องต้นในการป้องกันมะเร็ง เผยผลการทดลองสารสกัดจาก “ใบติ้ว” ผักพื้นบ้านภาคอีสาน มีฤทธิ์ต้านมะเร็งตับ และไม่พบทำลายเซลล์ปกติ ส่วนด้านการรักษาอยู่ในระหว่างการทดลอง พร้อมทดลองในเซลล์เม็ดเลือด เซลล์มะเร็งเต้านม

10/04/2014

นิ่วในไต

"นิ่วในไต" จากการทานน้ำดำ เพราะในน้ำดำมีคาเฟอีนสูง





"คาเฟอีน" มีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้ตกตะกอนเป็นนิ่ว และทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง

นอกจากจะเป็นนิ่วแล้ว ยังกระดูกพรุน กระดูกเปราะด้วยนะคับ และถ้าคนกลุ่มนี้โชคร้ายเป็นมะเร็ง เวลารักษาคีโมก็จะยิ่งทำลายมวลกระดูก มะเร็งจะลามไปที่กระดูกได้ง่าย เจ็บปวดทรมาณมาก ๆ

ไม่ใช่น้ำดำอย่างเดียวที่มีคาเฟอีนสูง ยังมีกาแฟสด กาแฟดำ ที่มีคาเฟอีนไม่แพ้น้ำอัดลมค่ะ ผลที่ได้ก็จะคล้าย ๆ กัน

เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มสมุนไพรแบบไม่ใส่น้ำตาลดีกว่า เพื่อสุขภาพ และลดความเสี่ยงของการก่อโรคอีกหลายโรคเลยนะคับ
(ที่มา..คนใต้.คอม)

10/02/2014

วิธีป้องกันมดและแมลงสาบขึ้นถังขยะ


มดและแมลงสาบนั้นถือเป็นแมลงที่ทำความเดือดร้อนรำคาญให้กับบ้านเรือนของเรา อยู่ไม่น้อยทีเดียวนะคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมดและแมลงสาบที่ชอบขึ้นถังขยะภายในบ้านของเรา วันนี้บล็อกนานาเคล็ดลับมี วิธีป้องกันมดและแมลงสาบ ไม่ให้ขึ้นถังขยะของเราได้ง่าย ๆ คับ

วิธีก็คือให้เราทำการเหยาะแอมโมเนียสักเล็กน้อยลงบริเวณข้างถังขยะ กลิ่นของแอมโมเนียจะช่วยให้มดและแมลงสาบไม่กล้าเข้ามาใกล้ ดังนั้นเราจึงสามารถป้องกันไม่ให้มดและแมลงสาบมาก่อความเดือดร้อนรำคาญ บริเวณถังขยะภายในบ้านของเราได้นั่นเองน่ะนะคับ

(ข้อมูลจาก คนใต้.คอม)

10/01/2014

ไม่แก่ (ปัสสาวะ) ก็รั่วได้

วิถีเร่งรีบของคนเมืองบางเวลาก็ทำให้ผู้คนละเลยกับการเข้าห้องน้ำ และอั้นระบบการขับถ่ายกันจนชิน ไม่แปลกถ้าวันหนึ่งอาการปัสสาวะเล็ด หรือปัสสาวะรั่วไหลโดยไม่ตั้งใจจะเกิดขึ้น แม้จะยังไม่ใช้วัยที่ควรเจอโรคเหล่านี้ก็ตาม

ผศ.นพ.วิทย์ วิเศษสินธุ์ หน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า ปัจจุบันอาการกลั้นปัสสวะไม่อยู่ พบในผู้หญิงวัยทำงานเพิ่มขึ้น สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะที่มีส่วนในการควบคุมการปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ระบบหูรูด กล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกราน ระบบประสาทที่ควบคุมการกลั้นและขับปัสสาวะ

          ทั้งนี้ ยังรวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง เช่น การดื่มน้ำน้อย กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานทำให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการบีบตัวผิดปกติ จนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นอกจากนั้นคนที่เคยผ่าตัดมดลูกมาก่อนอาจมีการเสื่อมของหูรูดและการหย่อนยานของผนังช่องคลอดรวมทั้งบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ ทำให้บริเวณคอกระเพาะปัสสาวะปิดไม่สนิทจึงเกิดอาการปัสสาวะรั่วออกมา และในวัยสูงอายุและประจำเดือนหมดแล้วฮอร์โมนเพศหญิงจะลดลง ทำให้เยื่อบุในท่อปัสสาวะขาดความยืดหยุ่นระบบการปิดกั้นของท่อปัสสาวะลดลง ทำให้ปัสสาวะรั่วซึมได้เช่นกัน โดยอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ พบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

          "อาการที่เสี่ยงต่อภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สังเกตได้จากการปวดราด คือปวดปัสสาวะรุนแรงจนเล็ดราดออกมา ไม่สามารถรอไปเข้า ห้องน้ำได้ทัน หรือปัสสาวะเล็ดจากการไอ จาม หรือหัวเราะอาการลักษณะนี้มักพบในผู้หญิงที่เริ่มมีอายุมากขึ้น น้ำหนักตัวมาก เคยมีประวัติคลอดบุตรหลายคนไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีธรรมชาติ หรือผ่าตัด เคยมีการผ่าตัดบริเวณรอบท่อปัสสาวะ หรือเคยรับการฉายรังสีรักษาบริเวณนั้น มาก่อน สุดท้ายคือเมื่อปวด ปัสสาวะก็ไหลออกมาเลย โดยไม่สามารถกลั้นได้ อาการเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ มีผลต่อสุขภาพจิต และการดำเนินชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความมั่นใจที่จะเข้าสังคม ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงได้" ผศ.นพ.วิทย์ กล่าว  การรักษามีหลายวิธี ทั้งกินยารักษา ใช้ฮอร์โมนทดแทน การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการขมิบช่องคลอด หรือแม้แต่การ ผ่าตัด

          อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก อย่าให้ท้องผูก งดสูบ บุหรี่ งดดื่มกาแฟ โซดา น้ำอัดลม เนื่องจากมีสาร กระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายบ่อย และไม่ควรกลั้น ปัสสาวะนานๆ จนทำให้เกิดอาการเหล่านี้ตามมาได้

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต